ความหมายของนาฏศิลป์
คำว่า "นาฏศิลป์" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 มีความหมายว่า ศิลปะแห่งการละคร หรือการฟ้อนรำ นาฏศิลป์เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิง อันโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัย การบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดคุณค่ายิ่งขึ้น หรือเรียกว่า ศิลปะของการร้องรำทำเพลง
การศึกษานาฏศิลป์ เป็นการศึกษาวัฒนธรรมแขนงหนึ่ง นาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์ อันประกอบด้วย จิตรกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี ดนตรี และนาฏศิลป์
นาฏศิลป์ นอกจากจะแสดงความเป็นอารยะของประเทศแล้ว ยังเป็นเสมือนแหล่งรวมศิลปะและการแสดงหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน โดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ในการที่จะสร้างสรรค์ อนุรักษ์ และถ่ายทอดสืบต่อไป
นาฏศิลป์ไทยมีกำเนิดมาจาก
1. การเลียนแบบธรรมชาติ แบ่งเป็น 3 ขึ้น คือ ขั้นต้น เกิดแต่วิสัยสัตว์ เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้าอารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้ ก็แสดงออกมาให้เห็นปรากฏ เช่น เด็กทารกเมื่อพอใจ ก็หัวเราะตบมือ กระโดดโลดเต้น เมื่อไม่พอใจก็ร้องไห้ ดิ้นรน ขั้นต่อมา เมื่อคนรู้ความหมายของกิริยาท่าทางมากขึ้น ก็ใช้กิริยาเหล่านั้นเป็นภาษาสื่อความหมาย ให้ผู้อื่นรู้ความรู้สึกและความประสงค์ เช่น ต้องการแสดงความเสน่หาก็ยิ้มแย้ม กรุ้มกริ่มชม้อยชม้ายชายตา หรือโกรธเคืองก็ทำหน้าตาถมึงทึง กระทืบ กระแทก ต่อมาอีกขั้นหนึ่ง มีผู้ฉลาดเลือกเอากิริยาท่าทาง ซึ่งแสดงอารมณ์ต่างๆ นั้นมาเรียบเรียงสอดคล้อง ติดต่อกันเป็นขบวนฟ้อนรำให้เห็นงาม จนเป็นที่ต้องตาติดใจคน
2. การเซ่นสรวงบูชา มนุษย์แต่โบราณมามีความเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการบูชา เซ่นสรวง เพื่อขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานพรให้ตนสมปรารถนา หรือขอให้ขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่ปรารถนาให้สิ้นไป การบูชาเซ่นสรวง มักถวายสิ่งที่ตนเห็นว่าดีหรือที่ตนพอใจ เช่น ข้าวปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้ จนถึง การขับร้อง ฟ้อนรำ เพื่อให้สิ่งที่ตนเคารพบูชานั้นพอใจ ต่อมามีการฟ้อนรำบำเรอกษัตริย์ด้วย ถือว่าเป็นสมมุติเทพที่ช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ มีการฟ้อนรำรับขวัญขุนศึกนักรบผู้กล้าหาญ ที่มีชัยในการสงครามปราบข้าศึกศัตรู ต่อมาการฟ้อนรำก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ลงมา กลายเป็นการฟ้อนรำเพื่อความบันเทิงของคนทั่วไป
3. การรับอารยธรรมของอินเดีย เมื่อไทยมาอยู่ในสุวรรณภูมิใหม่ๆ นั้น มีชนชาติมอญ และชาติขอมเจริญรุ่งเรืองอยู่ก่อนแล้ว ชาติทั้งสองนั้นได้รับอารยธรรมของอินเดียไว้มากมายเป็นเวลานาน เมื่อไทยมาอยู่ในระหว่างชนชาติทั้งสองนี้ ก็มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด ไทยจึงพลอยได้รับอารยธรรมอินเดียไว้หลายด้าน เช่น ภาษา ประเพณี ตลอดจนศิลปะการละคร ได้แก่ ระบำ ละครและโขน
องค์ประกอบของนาฏศิลป์ไทย
1. ดนตรี หมายถึง เครื่องดนตรีและทำนองเพลง ซึ่งทำนองเพลงนั้นจะมีอิทธิพลต่อการถ่ายทอดอารมณ์ต่าง ๆ ไปสู่ผู้ชมเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในการแสดงละครประเภทต่าง ๆ
2. บทเพลง หมายถึง คำประพันธ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการขับร้องประกอบการแสดงในชุดต่าง ๆ ซึ่งการแสดงลีลาจะต้องสอดคล้องกับบทร้องและอารมณ์ของเพลง และทำให้ผู้ชมเข้าใจความหมายได้ตรงกัน
3. การขับร้อง หมายถึง การขับร้องในบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้น โดยเฉพาะการขับร้องประกอบละคร ผู้ขับร้องจะต้องร้องให้สอดคล้องกับอารมณ์ของบทเพลงซึ่งบรรจุลงในบทละคร
4. ลีลาท่าทาง หมายถึง การประดิษฐ์ท่าทางของการเยื้องกรายให้สวยงามเกินธรรมชาติและถูกต้องตามแบบแผน ทั้งนี้ยังหมายความถึงลีลาท่าทางที่แสดงให้สมบทบาทของตัวละครนั้น ๆ ด้วย
5. เครื่องแต่งกาย หมายถึง เสื้อผ้า เครื่องประดับที่เหมาะสมกับชุดการแสดงหรือเหมาะสมกับบุคลิกของตัวละคร
6. อุปกรณ์การแสดง หมายถึง สิ่งที่นำมาเสริมแต่งเพื่อให้ชุดการแสดงและตัวละครสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น ทศกัณฐ์จะมีอาวุธคือศร ฟ้อนมาลัยผู้แสดงจะต้องถือมาลัย
7. ฉาก เป็นส่วนสำคัญของการแสดงนาฏศิลป์ โดยเฉพาะการแสดงละครซึ่งจะทำให้การแสดงนั้นดูสมบูรณ์สมจริงยิ่งขึ้น
ประเภทของนาฏศิลป์ไทย
การแบ่งประเภทของนาฏศิลป์ไทยนั้นมีผู้มีความรู้ความสามารถแบ่งประเภทของนาฏศิลป์ออกตามลักษณะของรูปแบบการแสดง เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 4 ประเภท
1. ระบำและรำ
2. โขน
3. ละคร
4. การแสดงพื้นเมือง
ความหมายของระบำ
คำว่า ระบำ ตามศัพท์ในพจนานุกรม ฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 ได้อธิบายไว้ว่า ระบำ น. การฟ้อนรำเป็นชุดกัน ; ก. ฟ้อนรำเป็นชุดกัน
ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้อธิบายไว้ดังนี้ ระบำ น. การแสดงที่ใช้ท่าฟ้อนรำ ไม่เป็นเรื่องราว มุ่งความสวยงามหรือความบันเทิงจะแสดงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ เช่น ระบำนพรัตน์ ระบำกอย ระบำฉุยฉาย ก. ฟ้อนรำที่ไม่เป็นเรื่องราว มุ่งความสวยงามหรือความบันเทิง จะแสดงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
ประเภทของระบำ
ระบำมี 2 ประเภท คือ ระบำมาตรฐาน และระบำเบ็ดเตล็ด โดยกำหนดลักษณะของเครื่องแต่งกายเป็นข้อแบ่งแยกถ้าแต่งกายยื่นเครื่องจะเป็นระบำมาตรฐาน ระบำนอกเหนือจากการแต่งกายยื่นเครื่องแล้วเป็นระบำเบ็ดเตล็ด
ระบำมาตรฐาน หมายถึง การแสดงที่มีลักษณะการแต่งกายยื่นเครื่องพระนาง ตลอดจนท่ารำเพลงร้องและดนตรีมีกำหนดไว้เป็นแบบแผนที่มีลักษณะเฉพาะตัว เช่น ระบำสี่บท ต่อมาได้มีผู้ประดิษฐ์ระบำซึ่งเลียนแบบระบำสี่บทขึ้นอีกหลายชุด ได้แก่ ระบำย่องหงิด ระบำดาวดึงส์ ระบำกฤดาภินิหาร และระบำเทพบันเทิง ฯลฯ
![]() |
ระบำเทพบันเทิง
เป็นการแสดงประกอบละครใน เรื่องอิเหนา ตอนลมหอบ
|
ระบำเบ็ดเตล็ด หมายถึง การแสดงที่แต่งกายตามรูปแบบลักษณะของการแสดงนั้น ๆ หรือการแสดงที่เป็นศิลปะเฉพาะท้องถิ่น เช่น รำพัด รำโคมญวณ รำกระถาง รำกระถาง รำสีนวล เป็นต้น
![]() |
ระบำดอกบัวไทย
นาฏศิลป์สร้างสรรค์โดยท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
|
ระบำกรับ
ความหมายของรำ
คำว่า รำ ตามศัพท์นั้นหมายถึง รำ ก. แสดงท่าเคลื่อนไหวโดยมีลีลาและแบบท่าเข้ากับจังหวะเพลงร้อง หรือเพลงดนตรี เช่น รำฉุยฉายพราหมณ์ รำสีนวล , ถ้าถืออาวุธประกอบ ก็เรียกชื่อตามอาวุธที่ถือ เช่น รำดาบ รำทวน รำกริช ถ้าถือสิ่งของสิ่งใดประกอบเรียกชื่อตามสิ่งของนั้น เช่น รำพัด รำดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง
ประเภทของรำ
รำมี 2 ประเภท คือ รำเดี่ยว และรำคู่ โดยมากมักจะเป็นการแสดงที่กำหนดให้เป็นมาตรฐาน มีรูปแบบท่ารำเฉพาะแต่ละชุดอยู่แล้ว ในการแสดงรำแต่ละชุดเป็นเสมือนการรำอวดฝีมือของศิลปินอยู่ด้วย เพราะต้องใช้ทักษะ และประสบการณ์ในการแสดงสูงพอสมควร จึงสามารถปฏิบัติท่ารำได้ดี การแต่งกายมักแต่งกายยื่นเครื่องเป็นหลัก มีบางชุดแต่งกายตามสภาพ หรือตามลักษณะตัวละครนั้นๆ
รำเดี่ยว หมายถึง การแสดงที่ใช้ผู้แสดงเพียงคนเดียว เช่น รำมโนห์ราบูชายัญ รำพลายชุมพล รำฉุยฉายพราหมณ์ รำฉุยฉายเบญกาย เป็นต้น
![]() |
รำฉุยฉายเบญกาย
เป็นร่ายรำอวดรูปโฉมของนางเบญกายที่สามารถปลอมตนเองให้เหมือนนางสีดา
|
รำคู่ หมายถึง การแสดงที่ใช้ผู้แสดงเพียงสองคน เช่น รำกิ่งไม้เงินทอง รำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง รำหนุมานจับนางสุพรรณมัจฉา รำรจนาเสี่ยงพวงมาลัย รำพระรามตามกวาง รำเมขลารามสูร เป็นต้น
![]() รำฉุยฉายกิ่งไม้เงินทอง |
รำหนุมานจับนางเบญกาย
|